เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o ต.ค. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาโลก เห็นไหม โลกนี้โลกเจริญ เวลาความเจริญของโลก เมื่อก่อนเราต้องพัฒนาขึ้นมาให้โลกนี้เจริญ ถ้าโลกนี้เจริญพวกเราจะมีความสุข ถ้ามีความสุขถ้ามีธรรมในหัวใจความสุขนั้นจะเป็นความสุขโดยสมบูรณ์แล้วไม่มีโทษ ดูในปัจจุบันนี้ ดูโลกสิ โลก เห็นไหม ฝ่ายหนึ่งกินจนสมบูรณ์จนเป็นโรคอ้วน แต่อีกฝ่ายหนึ่งที่คนทุกข์คนจน จนเป็นโรคขาดสารอาหาร ขาดสารอาหารเพราะเขาไม่มีจะกิน เขาไม่มีจะใช้ของเขา จนถึงว่าเขาอดอยากจนขาดสารอาหาร

แต่ฝ่ายหนึ่งถ้ามีบุญกุศล แล้วสร้างของเขามานะ ขนาดสะสมจนเหลือใช้ จนเป็นโรคอ้วน จนเป็นโรคอันหนึ่ง เดี๋ยวนี้ต้องทำวิจัยการรักษานะ เพราะอะไรล่ะ เพราะอะไร เพราะสิ่งที่ว่ามันเป็นวัตถุ อาหารนี้มันไม่เป็นโทษหรอก อาหารนี้มันเกิดขึ้นมาใช่ไหม เราทำนา ข้าวก็เกิดขึ้น สรรพสิ่งนี้ไม่เป็นโทษ รูป รส กลิ่น เสียง ไม่ใช่โทษนะ ไม่ใช่มันให้โทษได้ แต่ แต่มารไง บ่วงของมารไง บ่วงของมาร รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มารเอาสิ่งนี้บูชาไง บูชาแล้ว บูชาให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันไสออกไป เห็นไหม

ทุกอย่างถ้าเป็นแฟชั่น เห็นไหม ดูสิ โทรศัพท์มือถือมันเป็นประโยชน์ แต่ถ้ามันเป็นแฟชั่นขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องของการเบียดเบียน คนเป็นจะใช้ประโยชน์หรือไม่ใช้ประโยชน์มันล่ะ สิ่งที่เป็นประโยชน์ทุกอย่างมีดาบสองคม เราเคยคุยกับหมอ หมอเขาบอกเลยนะ บอกว่า ในโลกนี้ให้เอายาเหลือตัวเดียว ยาให้มีเหลือตัวเดียว จะเลือกอะไร เขาบอกเลือกมอร์ฟีน เพราะมอร์ฟีนนี้มันครอบคลุมทั้งหมด เห็นไหม

แต่มอร์ฟีน ดูสิ ทางโลกเขาเป็นโทษมากเลย เพราะอะไร เพราะมันเป็นสารเสพติด มันติดแล้วมันเป็นโทษกับร่างกาย แต่ขณะที่ไม่มีสิ่งใดเลย เห็นไหม ถ้าเอายานี่เหลือตัวเดียว เขาเลือกมอร์ฟีนนะ เพราะมันควบคุมทั้งหมดถ้าให้มีตัวเดียว ถ้ามันเป็นความตัณหาทะยานอยากเข้าไปในโลกนั้น ตอนนี้โจมตีมากเรื่องสารเสพติด เรื่องต่างๆ แต่สารเสพติดในทางอุตสาหกรรมมันก็ให้ประโยชน์ทางอุตสาหกรรม แต่มันประโยชน์ส่วนน้อย แต่เวลามันออกมาเป็นประโยชน์ขึ้นมา เป็นส่วนที่ว่าเป็นสินค้าที่ใช้สอย มันจะเป็นประโยชน์มากเลย

ถึงบอกสิ่งที่ว่าเป็นโทษที่สุดคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากต่างหาก สิ่งนี้มันไม่รู้จักพอ มันไม่รู้จักเป็นไป เห็นไหม ถ้าเรารู้จักพอ เรารู้จักเป็นไป สิ่งที่ว่าเป็นรูป รส กลิ่น เสียง นั้นก็เป็นเรื่องของโลกเขา มันจะเป็นความเจริญจะเป็นความเสื่อมของโลกนี้เป็นธรรมดาของโลกเขา โลกนี้หมุนไปเป็นธรรมชาติของเขานะ เราดูศีลธรรม ดูวัฒนธรรม วัฒนธรรมมันจะเคลื่อนไป มันจะเคลื่อนไปนะ เคลื่อนไปตามกระแสของมนุษย์ไง

ดูสิ อย่างทางตะวันตกเขาฉลาดมาก เขาคุมสื่อ เห็นไหม เขาต้องเอาสื่อออกก่อน รุกทางวัฒนธรรมไง ให้คนเชื่อไง แฟชั่นนี้ต้องให้วัฒนธรรมออกบัตรให้ดาราเป็นผู้นำก่อน เห็นไหม รุกไปก่อน แล้วคนจะเชื่อตามนั้น ตามนั้นไง แต่ไม่ได้คิดด้วยปัญญาว่ามันควรหรือไม่ควรเห็นไหม พระพุทธเจ้าถึงบอกปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย พระพุทธเจ้านี้ยอดของนักปราชญ์เลย สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ เป็นความจำเป็นของโลก ไม่ปฏิเสธ เห็นไหม ปัจจัย ๔ มนุษย์ปฏิเสธไม่ได้ เป็นปัจจัย ๔ แต่เขาว่าต้องมีปัจจัยที่ ๕ ปัจจัยที่ ๖ มันก็ว่ากันไป เห็นไหม

กล่าวตู่พุทธพจน์ กล่าวตู่ความเห็นขององค์พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็เพื่อ เพื่อจะหลอกขายสินค้ากันไง เพื่อหลอกให้กิเลสนี้มันฟูขึ้นมาไง ฟูขึ้นมา ยอมรับสิ่งนั้น ถ้ายอมสิ่งนั้นแล้วเราก็จะต้องเป็นเหยื่อของสังคม เห็นไหม เราเป็นเหยื่อของโลกนะ

เราอยู่ในโลก เกิดจากโลกไม่ได้ปฏิเสธเรื่องโลกนะ องค์พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพระโมคคัลลานะ แล้วพระโมคคัลลานะปฏิเสธเรื่องกามนะ

“โมคคัลลานะเธอปฏิเสธเรื่องกามไม่ได้”

“เพราะอะไร”

“เพราะองค์พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดมาจากกาม แต่เกิดมาจากกามแล้วไม่ติดในกาม พ้นออกไปจากกามใช่ไหม”

โลกนี้เป็นเรื่องของโลก เพราะเกิดมาคนเกิดมาจากโลก โลกนี้เป็นเรื่องธรรมดาของโลก แต่เราอยู่มันไม่เป็นธรรมดาเพราะเราเป็นทาสของมัน เราเป็นเหยื่อของมัน เราไม่สามารถอยู่กับมันโดยเป็นธรรมดาได้ คนจะอยู่กับมันเป็นธรรมดาได้ต้องเป็นพระอริยเจ้าอย่างต่ำ อย่างต่ำนะ แม้แต่นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน แต่เวลาหลานตาย เห็นไหม ร้องไห้นะ พระโสดาบันมีความทุกข์ ร้องไห้ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถาม

“วิสาขาเธอร้องไห้เพราะเหตุใด”

“ร้องไห้เพราะหลานตาย”

“แล้วถ้าในโลกนี้คนเขาตายอยู่ทุกวัน เธอจะไม่ต้องร้องไห้อย่างนี้ทุกวันหรือ ทำไมคนอื่นตายทำไมเธอไม่ร้องไห้ล่ะ ทำไมหลานของตัวเองตายเธอร้องไห้ล่ะ เพราะอะไร”

เพราะมันความสัมพันธ์ไง ความผูกพัน เห็นไหม นางวิสาขาได้สติ เพราะอะไร เพราะพระโสดาบันมีสติพอสมควร มีสติอยู่แต่มีความกิเลสที่ละเอียดกว่า เห็นไหม ถ้าเป็นเหยื่อไม่เป็นเหยื่อ มันตรงนี้ไง ถ้ามีสติ มีสัมปชัญญะ ความเป็นเหยื่อจะน้อยลง น้อยลง จนถึงที่สุดนะ สอุปาทิเสสนิพพานพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ไง อยู่กับโลกเขา แต่ไม่ติดในโลกเขาเด็ดขาด เพราะมันไม่สมารถเข้าไปถึงใจดวงนั้นได้ ใจดวงนั้นพ้นออกไปจากกิเลสนะ พ้นออกไปจากพญามารไง แล้วคว่ำเรือนยอดของพญามารแล้วมันจะเอาอะไรมาบูชา สิ่งที่บูชานะ มันบูชาไม่ได้ มันบูชาขึ้นมาเพราะมันรู้ทันกันหมดแล้วมันจะบูชาสิ่งใด

เพราะเวลาความคิดเกิดขึ้น เห็นไหม ความกระเพื่อมของใจ ใจเวลากระเพื่อมออกไป เห็นไหม มันเสวยอารมณ์ มันออกไป แล้วเวลามันกระเพื่อมออกไป เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยมารตอนที่ชนะมาร เห็นไหม “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา” เห็นไหม ก่อนความคิดที่มันจะเกิดขึ้นนะ ถ้าความคิดของเราจะเกิดขึ้น ความคิดมาจากไหนเรายังไม่เห็นเลย เวลาความคิดเราเกิดขึ้นมา เราก็เป็นเหยื่อของมันแล้ว ความคิดขับไส เราคิดออกไป เห็นไหม

แต่ในความคิดจะเกิดขึ้นนะ “มารเอย เธอเกิดจากความดำริ” ก่อนความคิดจะเกิด มารจะแทรก แทรกตรงนี้ แล้วองค์พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระตรงนี้ทั้งหมดเลย “เธอเกิดจากความดำริของเรา บัดนี้เธอจะเกิดอีกไม่ได้เลยเพราะเราเห็นเรือนยอดของเธอแล้ว เราได้คว่ำเรือนยอดของเธอแล้ว” เห็นไหม ความคิดที่จะเคลื่อนออกไป แล้วมันจะไปเกาะเกี่ยวกับบ่วงของมารได้อย่างไร แม้แต่ตัวมารยังคว่ำมันแล้ว แล้วบ่วงที่มันจะเอามาบูชา มันจะไปติดมันได้อย่างไร

นี่ปัญหาของโลกเป็นแบบนั้น นี่โลกเป็นแบบนั้น มันอยู่ที่กรรมนะ ในประเทศที่เจริญที่สุดในโลกนี้แต่เขาก็มีคนทุกข์คนยากนะ ในอเมริกาถ้าคนตกสำรวจในบัญชีของเขานะ เขาไม่ได้อยู่ในระบบของเขา เขาจะมีความทุกข์มากเพราะเขาจะไม่ได้สวัสดิการอะไรเลย เขาจะไม่ได้สวัสดิการ เขาจะไม่ได้รับความดูแลของเขาเลย แล้วอย่างนี้เป็นหลายๆ สิบล้านคนนะ ประเทศที่เจริญแล้วขนาดไหนก็มี ในญี่ปุ่นก็มีนะ คนทุกข์ คนยาก ขนาดต้องตั้งมูลนิธิกัน เวลาถึงวันพุธเขาต้องมีอาหารไปเลี้ยงกันนะ

เราดูแต่ความเจริญ เราคิดของเรา เราคิดไปสภาวะแบบนั้น แต่ในสังคมทุกสังคม มันจะมีคนดีและคนเลวในสังคมนั้น ในสังคมทุกสังคม ในประเทศที่ยากจนขนาดไหนก็มีเศรษฐีในประเทศที่ยากจนนั้น เศรษฐีหรือยาจกในประเทศไหนก็แล้วแต่ สิ่งนั้นเป็นเพราะว่าอำนาจวาสนา ถ้าอำนาจวาสนาเป็นความยอมจำนนไง ถ้าพูดถึงพระต้องเชื่อกรรม แล้วคนที่ว่ามาตักตวงผลประโยชน์ คนนั้นเขาว่ามีอำนาจวาสนาหรือ ถ้าเขาตักตวงผลประโยชน์โดยธรรม ตักตวงผลประโยชน์โดยอธรรม

สิ่งที่เป็นอธรรมนั้นมันไม่ใช่เป็นธรรมหรอก แล้วมันจะสร้างสมให้ใจดวงนั้นมีทุกข์ไปกับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นต้องแบกรับกรรมที่การสร้างตลอดไป สิ่งที่การสร้างนะ เราสร้างคุณงามความดี เห็นไหม เราจะมาวัดมาวากัน เราจะสละทานต่างๆ คนเขาบอกเราเป็นคนโง่ เป็นคนที่ไม่ฉลาด คนที่ฉลาดเขาก็ต้องแสวงหาผลประโยชน์ของเขาสิ ทำไมนี้สละออก เห็นไหม โลกเขาคิดกันอย่างนั้น แต่ผู้ที่มีธรรมในหัวใจนะ สิ่งที่เป็นโลกนั้นเป็นความหยาบๆ

สิ่งที่หยาบๆ เห็นไหม สินค้าซื้อขายโรงงานเขาผลิตออกมา โรงงานโกดังจนไม่มีที่เก็บ เห็นไหม นั่นคือวัตถุ แล้วมันเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมาล่ะ แต่ในเมื่อสิ่งนี้เราเกิดขึ้นมาจากพลังงานของเรา เกิดขึ้นมาจากแสวงหาของเรา เกิดขึ้นมาจากกำลังของเรา เงินทองเกิดจากเรา เราซื้อสิ่งนั้นมาสละออกไป สละสิ่งนี้ออกไป สละวัตถุนั้นออกไป โรงงานทั้งโรงงานเวลามันเก็บไว้ไม่ให้เสีย มันยังเสียหายได้เลย แต่ของเรา เรามีของเรา แล้วสละออกเพื่ออะไรล่ะ

เพื่อหัวใจดวงนี้ไง เพื่อที่ว่าเวลาเกิดขึ้นมาสะสมบุญญาธิการอย่างนี้ขึ้นมา เห็นไหม คนที่สละ สละออกไป กลิ่นของศีลจะหอมทวนลมนะ คนที่มีอยู่ในศีลในธรรมมันหอมไปทวนลม มีความหอม กลิ่นหอมของสิ่งใดมันจะหอมทวนลมได้ มันต้องไปตามกระแสลม แต่ความดีของมนุษย์มันหอมทวนลมนะ จนเทวดาฟ้าดินยังต้องยอมรับความดีของมนุษย์นะ เวลาเทวดาฟ้าดินออกมาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ฟังธรรมของครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม เพราะอะไร

เพราะมันเรื่องของหัวใจไง เรื่องของสละทานที่เราสละทานขึ้นไป จนขยับทานขึ้นมา ฝึกฝนใจขึ้นมาจนควรแก่การงานเห็นไหม ทำความสงบของใจเข้ามา แล้วทำเข้าเอายกสัมมาสมาธิ ยกใจดวงนี้ ใจเวลาสงบเข้ามา มันเป็นฐานของมัน มันตั้งมั่นของมันขึ้นมา เอกัคคตารมณ์ แล้วบอกจิตจับต้องไม่ได้ จิตไม่มี มันเป็นไปได้อย่างไร ถ้าจิตจับต้องไม่ได้ สติเกิดตรงไหน สติตั้งตรงไหน ความรู้สึกเกิดที่ตรงไหน ความรู้สึกนะความรู้สึกอันนี้เพราะมันสงบจากความฟุ้งซ่าน จากบ่วงของมารเข้ามา มันสงบเข้ามา เห็นไหม จนต้องเอาสัมมาสมาธิ เอาจิตที่ตั้งมั่นนี้ยกขึ้นทำงาน งานในหัวใจนะ งานในการวิปัสสนา

มันไม่ใช่ความเพ้อฝัน มันไม่ใช่การจินตนาการ มันไม่ใช่สิ่งต่างๆ ทั้งหมด มันเป็นความจริงของมันที่เป็นอริยสัจขึ้นมานี้ เทวดาฟ้าดินไม่รู้สิ่งนี้ไง ถึงต้องมาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากมนุษย์นี้ มนุษย์ที่ทำขึ้นมา เห็นไหม คุณงามความดีเกิดขึ้นมาขนาดนี้ บุญกุศลมันเกิดขึ้นมา มันจึงเห็นความเป็นไปของโลก โลกมันจะเป็นสภาวะแบบนั้น โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่มีที่ไหนอิ่มเต็ม ความเต็มของโลกไม่มี โลกนี้จะหมุนไปโดยธรรมชาติของมัน เพราะเป็นอจินไตย สิ่งนี้จะหมุนไปตลอดไป

เราเกิดมาชาติหนึ่ง เราเกิดมาปัจจุบันหนึ่ง เราเกิดสภาวะโลกที่มีความสุข ความสมควร ความสุขพอสมควร เราจะมีโอกาสอยู่กับโลกด้วยความเป็นสุข ในร่างกายนะ แล้วในหัวใจล่ะ เราจะเอาประโยชน์สิ่งใดขึ้นมา ธรรมเกิดจากตรงนี้ไง สิ่งที่มันพร่องอยู่ มันพร่องอยู่ เราจะให้มันเต็มไม่ได้ ถ้าเราไปทำอย่างนั้น เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงต้องวางพรหมวิหาร ๔ ไง ถึงที่สุดแล้วต้องอุเบกขาไง เราช่วยเขาเต็มที่ กรรมของเขาก็มี กรรมของเราก็มี กรรมของโลกก็มี ความเป็นไปของวัฏฏะมันหมุนไปอย่างนั้น เราจะไปฝืนสิ่งนั้นไม่ได้เลย ถ้าเราฝืนสิ่งนั้นนะ เราตายเลย

มันถึงว่า ถ้าเราตายเพราะมันฝืนกับความรู้สึกนะ มันเป็นสมุทัย เป็นตัณหาความทะยานอยากที่เราต้องการให้มันเป็นไปตามความเห็นของตัว แล้วมันเป็นความเห็นของตัวไปไม่ได้ เพราะสภาวะกรรมของเขาก็มี สภาวะของโลกก็มี สภาวะต่างๆ ก็มี เราจะไม่สมารถควบคุมธรรมชาติได้ ธรรมชาติจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

แต่โลกก็พยายามจะคิดเอาชนะธรรมชาติ เพื่อความสุข ความสนุก สุขของตัว ความเป็นไปของตัว เห็นไหม แต่เวลาผู้ที่เป็นอธรรม เห็นไหม มันทำลายธรรมชาติ มันทำลายทุกๆอย่างเพื่อประโยชน์ของมัน สิ่งนั้นมันเป็นไปเรื่องของโลก ถ้ามันเป็นถึงว่า ถึงต้องมีอุเบกขา ความอุเบกขาต้องวางไว้ตามความเป็นจริง สิ่งนั้นวางไว้ตามความเป็นจริง มันสภาวะกรรม เวลาพระอรหันต์ท่านปลงสังเวช สังเวชอย่างนี้ไง เพราะสิ่งนี้มันไม่สามารถจะยับยั้งได้

สิ่งนี้มันเป็นสภาวธรรมที่เป็นความจริงอันหนึ่ง เหมือนกับสิ่งที่ว่า พระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็ต้องตกโดยธรรมชาติของมัน เป็นสภาวะของมัน แล้วใครได้ประโยชน์นั้นคือธรรม คือบุญกุศลของเขา ใครเสียผลประโยชน์นั้นคือบาปอกุศลของเขา แล้วเรามองสิ่งนั้น ถ้ามีปัญญาช่วยได้ มีบารมีสามารถช่วยได้ เราก็ต้องช่วยสิ่งนั้น เพื่ออะไร เพื่อเมตตาธรรมไง

สิ่งที่เมตตาธรรมแต่ไม่ช่วยเพื่อผลประโยชน์ ไม่ช่วยให้ตัวเองมีชื่อเสียงเกียรติศัพท์ ไม่สำคัญ สิ่งที่ว่าหัวใจมันไม่ต้องการสิ่งใดๆ เลย สิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ภาระรุงรังทั้งหมด สิ่งที่เป็นภาระรุงรัง ใครจะไปหาสิ่งภาระรุงรังเข้ามาแบก ใครไปแบกของ เราเบาตัวอยู่แล้วเราไปแบกของหนัก ใครมันโง่ขนาดนั้น ต้องไปแบกของสิ่งนั้นให้มันหนักขึ้นมาในหัวใจของเรา แต่เมตตาธรรมไง แต่ถ้าช่วยไม่ได้ มันก็ปลงธรรมสังเวชไง สิ่งที่ธรรมสังเวชมันก็สะเทือนหัวใจ เห็นไหม

เวลาโลกโศกสลดกันนี้ เพราะอะไร เพราะมันสะเทือน กิเลสมันสะเทือน จนมีความทุกข์ในหัวใจ แต่พระอรหันต์เวลาปลงธรรมสังเวช เพราะสังเวช เพราะนี่ทำไมกิเลสมันปิดบังตาใจดวงนี้ ใจดวงนี้ทำไมมันมืดบอดได้ทำบาปอกุศลมาให้ได้ประสบพบกรรมอย่างนี้ แล้วสิ่งนี้ทำไมเราไม่เปิดตาของเขา ทำไมเขาไม่สามารถเปิดตาของเขาขึ้นมาเพื่อเขาแสวงหาทางออกของเขา ทำไมเขาไม่เปิดไฟในที่มืดของเขา ที่นั้นมันมืดอยู่ทำไมเขาไม่เปิดไฟของเขาขึ้นมา ให้เขามีทางออกของเขา

มันสังเวชอย่างนั้นไง ปลงธรรมสังเวชแล้วมันเศร้าใจเข้ามา เห็นไหม แต่จะช่วยใครได้ล่ะ เพราะวุฒิภาวะของใจ ใจตั้งแต่เด็ก เห็นไหม เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา มันจะพัฒนาของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เห็นไหม เวลาลูก ไปเอาพ่อแม่ได้ นี่เปิดตาของใจ เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ เลี้ยงได้แต่ร่างกายนะ พ่อแม่ถึงจุดก็ต้องตายไป พระอรหันต์ของลูก ถูกต้อง เราต้องอุปัฏฐากต้องดูแลแม่

แต่ถ้าเราสามารถนะ เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ได้ร่างกายด้วย แล้วเราสามารถเปิดตาของใจของพ่อของแม่ได้ด้วย เพราะอะไร เพราะบุญกุศลนี้เวลาตายไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขาจะได้ใช้ประโยชน์อีก เราสามารถส่งเสียเขาไปถึงชาติต่อๆ ไป เห็นไหม สิ่งนี้มันสำคัญกว่า เห็นไหม ถ้าเราเปิดตาของใจมันจะได้ประโยชน์ต่อไปอีกมหาศาล ที่ไม่มีวันที่สิ้นสุด เพราะใจดวงนี้ได้เปิดตาแล้ว มันจะสร้างของมันเป็นเหตุเป็นผลที่ดีของมัน มันจะขับเคลื่อนความดีของมันให้ใจดวงนี้มีความสุข เห็นไหม

ถ้าเราเลี้ยงร่างกายก็ได้ร่างกายในชาตินี้ แต่ก็ต้องเลี้ยง แต่ในเมื่อคุณค่าของมัน เลี้ยงหัวใจสำคัญกว่าเลี้ยงร่างกายมหาศาลเลย เพราะร่างกายนี่มันสุขมันทุกข์ไม่เป็น แต่เพราะหัวใจอยู่ในร่างกายมันสุขมันทุกข์เป็น เห็นไหม เลี้ยงร่างกาย เขาก็พอใจเขาอยู่แล้ว แต่ถ้าเราเปิดตาเขาได้อีก เห็นไหม เปิดตาคือความเชื่อของเขา เพราะพ่อแม่นี้ห่วงลูกมาก อยากจะให้ลูกนี่มีที่ยืนในสังคม อยากให้ลูกมีประสบความสำเร็จ ถ้าลูกประสบความสำเร็จพ่อแม่จะมีความสุขมาก ความสุขสุขจากพ่อแม่ เห็นไหม ก็ติดในพ่อแม่ เห็นไหม แม่ก็อยู่ของพ่อแม่ได้ ลูกก็อยู่ของลูกได้ อยู่กันโดยสภาวธรรม แต่ตาของใจสิ อนาคตออกไปนี้ ออกจากบ้านมา เราจะมีเสบียงกรังไปไหม ตายเอาไปนี้มีบุญกุศลจากหัวใจไปไหม สิ่งนี้เปิดตาของใจ แล้วถ้าวิปัสสนาเป็นอีก เป็นผลมหาศาลเลย

นี่เรื่องของโลก มองโลก เวลาธรรม ปลงธรรมสังเวช สังเวชอย่างนี้ สังเวชเรื่องถ้ามันเปิดได้นะ ตาใจมันจะเปิดได้ มันจะเป็นประโยชน์ทั้งหมด ถ้าเปิดไม่ได้เรื่องของสัตว์ เรื่องกรรมของสัตว์ ก็เรื่องของเขา แต่ใจของเราต้องยืนให้ได้ แล้วรักษาใจของเราไป บุญกุศลจะเกิดอย่างนี้ เราถึงจะต้องขวนขวายอย่างนี้ เกิดมาพบศาสนา เกิดมาพบโลก เราก็อยู่ของโลก ในโลกที่ว่าอบอุ่นพอสมควร มองไปรอบโลกสิ เขาจะมีปัญหาไปทั้งหมดเลย

ประเทศไทยก็มีปัญหาเหมือนกัน ตอนนี้เล็กน้อย แต่ในสังคมชาวพุทธเราจะมีสิ่งที่ว่าฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล สิ่งใดๆ ตกต้องตามฤดูกาล นี่สภาวะของธรรม สภาวะของสังคม ของโลก แล้วเราอยู่ในสภาวะแบบนี้ ย้อนกลับเข้ามาถึงเรา แล้วเราอยู่อย่างนี้แล้วเราชะล่าใจ เรานอนใจ เราจะไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือไป

ถ้าเราไม่ชะล่าใจ ไม่นอนใจ เราจะมีอะไรติดไม้ติดมือนะ ติดไม้ติดมือคือติดหัวใจไง บุญกุศลติดหัวใจนี้ไป แล้วหัวใจนี้พาบุญกุศลนี้ไปเอง แล้วมันจะเข้าใจของมันเอง ถึงที่สุดตายไปจะรู้เอง จะปฏิเสธไม่ปฏิเสธ นั้นมันเรื่องของความคิด แต่เรื่องของสัจจะความจริง คือความจริงวันยังค่ำ เอวัง